คาดภัยแล้งเสียหายแล้วกว่า 6.8 หมื่นล้านบาท ฉุดจีดีพีปีนี้ทรุด 0.52% แนะรัฐเร่งอัดฉีดงบพยุงเศรษฐกิจอีก 7 หมื่น-1 แสนล้านบาท หวังทำให้เติบโตได้มากกว่า 3%
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดเผยว่า ผลสำรวจสถานการณ์ภัยแล้งปี 58 จากเกษตรกรทั่วประเทศจำนวน 1,200 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 1-4 ก.ค.58 พบว่าขณะนี้ภัยแล้งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวมแล้ว 6.81 หมื่นล้านบาท หรือคิดเป็น 0.52% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) เพราะมีพื้นที่เพาะปลูกเสียหายแล้ว 10-12 ล้านไร่ จากพื้นที่เพาะปลูกทั้งหมด 61 ล้านไร่ทั่วประเทศ ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรเสียหาย 4.6 ล้านตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 3.56 หมื่นล้านบาท และยังมีความเสียหายจากผลผลิตข้าวนาปรังที่ลดลงอีกราว 3.25 หมื่นล้านบาท คาดว่าปัญหาภัยแล้งอาจทำให้เศรษฐกิจไทยปีนี้ขยายตัวได้ต่ำกว่า 3%
“ถ้ารัฐบาลต้องการพยุงเศรษฐกิจให้ขยายตัวในมากกว่า 3% จะต้องใส่เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจกว่า 7 หมื่นล้านบาทถึง 1 แสนล้านบาท โดยอาจใช้แนวทางชดเชย และลดต้นทุนการผลิตไร่ละ 1,000 บาท ให้กับเกษตรกรที่มีที่นาไม่เกิน 15 ไร่ ต่อครัวเรือน”
ทั้งนี้ จากการสำรวจ ผู้ตอบส่วนใหญ่ 57% ระบุสถานการณ์ภัยแล้งในปีนี้มีความรุนแรงมากกว่าในอดีต, 35.2% ระบุรุนแรงมากกว่ามาก, 7.6% ระบุรุนแรงพอๆ กัน มี 0.2% ระบุน้อยกว่า และอีก 0.2% ระบุน้อยกว่ามาก ซึ่งส่วนใหญ่ 76% ระบุพื้นที่เพาะปลูกได้รับผลกระทบมากถึงมากที่สุด ส่วน 11.9% ระบุได้รับผลกระทบปานกลาง มี 4.3% ได้รับผลกระทบน้อย และอีก 7.8% ระบุไม่ได้รับผลกระทบ โดยเมื่อแยกตามภูมิภาค เกษตรกรที่ได้รับผลกระทบมากที่สุดอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง รองลงมาคือ ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคใต้ยังไม่ได้ทำการเกษตร เพราะขณะนี้เป็นช่วงมรสุม
เมื่อถามว่าภัยแล้งในปัจจุบันส่งผลกระทบต่อท่านในเรื่องใดมากที่สุด พบว่า 40.8% มีภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น, 14.7% มีรายได้ลดลง, 14.7% ค่าครองชีพสูงขึ้น (รายได้ไม่สอดคล้องกับค่าใช้จ่าย) และอีก 12.1% พืชผลทางการเกษตรเสียหาย อย่างไรก็ตาม เมื่อถามว่า มีการปรับตัวหรือไม่ และปรับตัวอย่างไร ผู้ตอบ 85.5% ระบุมีการปรับตัว โดยขอความช่วยเหลือจากรัฐ, หาอาชีพอื่นทดแทน, หาแหล่งน้ำจากแหล่งอื่น และย้ายถิ่นฐานทำงานในเมือง ส่วนอีก 14.5% ระบุไม่มีการปรับตัว เพราะไม่รู้จะปรับตัวอย่างไร รอฝนฟ้าตก และรอการช่วยเหลือจากรัฐ
นอกจากนี้ ภัยแล้งยังส่งผลต่อการศึกษาของบุตรหลายอีกด้วย โดยมีการค้างค่าเล่าเรียน ย้ายโรงเรียนเพื่อลดค่าใช้จ่าย บุตรหลานต้องหางานพิเศษทำ หรือหยุดเรียน รวมถึงหาเงินกู้เพื่อการศึกษา และเลือกเรียนเฉพาะมหาวิทยาลัยของรัฐเท่านั้น
“เกษตรกรที่มีที่นาต่ำกว่า 20 ไร่ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่งผลให้รายได้ลดลง 15% จากปีก่อนที่ราคาข้าวก็ยังอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลต่อเนื่องให้เกษตรกรชะลอ และระวังการจับจ่าย รวมถึงกู้ยืมเพิ่มขึ้น ทำให้เศรษฐกิจในต่างจังหวัดชะลอตัว และหนี้ครัวเรือนสูงขึ้น โดยจากแบบสำรวจพบว่า มีเกษตรกร 74.9% ที่ยังมีหนี้สิน มีเพียง 25.1% เท่านั้นที่ไม่มีหนี้สิน โดยกลุ่มที่มีหนี้สิน ส่วนใหญ่เป็นหนี้นอกระบบ สาเหตุมีหนี้เพราะลงทุนทางการเกษตร หนี้พื่อใช้จ่ายทั่วไป หนี้ซื้อทรัพย์สิน (รถยนต์) ซื้อบ้าน และอื่นๆ ”
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ต้องการให้รัฐบาลช่วยเหลือในขณะนี้คือ ประกันราคาข้าว ให้เงินชดเชย ลดต้นทุนการเกษตร กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเรื่องภาระหนี้สิน จัดหาแหล่งน้ำ หาอาชีพเสริมให้ชาวนา ส่วนสิ่งทีรัฐบาลควรดำเนินการแก้ไขเพื่อให้เกษตรกรไทยเกิดความยั่งยืน ได้แก่ จัดหามาตรการเรื่องราคาสินค้าเกษตร บริหารจัดการน้ำ จัดอบรมเทคนิคการเกษตร ไร่น่าสวนผสม ช่วยเหลือเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ และทำให้เศรษฐกิจยั่งยืน
ที่มา http://www.posttoday.com/biz/gov/375338
0 comments:
Post a Comment