Sunday, July 5, 2015

'ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ' โจทย์หิน ต้องรอบคอบ-ห่วงซ้ำเติม ศก.ซบ


'ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ' โจทย์หิน เอกชนติงต้องรอบคอบ-ห่วงซ้ำเติม ศก.ซบ

 
                     เป็นที่ถกเถียงกันในวงกว้างอีกครั้ง เกี่ยวกับ “อัตราค่าจ้างขั้นต่ำ” โดยก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวว่าคณะกรรมการค่าจ้างมีมติให้ยกเลิกอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศในปี 2559 และจะนำระบบค่าจ้างลอยตัวมาบังคับใช้ เพียงชั่วข้ามคืน กระทรวงแรงงานได้ออกมาปฏิเสธข่าวดังกล่าว พร้อมยืนยันว่าจะไม่ยกเลิกอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ส่วนการพิจารณาครั้งใหม่จะใช้อัตรา 300 บาทเป็นฐาน โดยอัตราค่าจ้างปี 2559 จะปรับขึ้นหรือไม่ขึ้นอยู่กับการพิจารณาจากอัตราเงินเฟ้อ และค่าครองชีพของแต่ละจังหวัด
 
                     ขณะที่คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) มีมติออกมาก่อนหน้านี้เช่นกัน เรียกร้องให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปี 2559 จากวันละ 300 บาท เป็น 360 บาทเท่ากันทุกจังหวัด ซึ่งเป็นตัวเลขที่ได้จากการสำรวจค่าครองชีพของแรงงานในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล และเสนอให้พิจารณาปรับขึ้นค่าจ้างตามอายุงานและศักยภาพในการทำงานแทนการพิจารณาจากสภาพเศรษฐกิจ
 
                     อย่างไรก็ตาม การพิจารณาเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำโดยคณะกรรมการค่าจ้างนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2558 ทำให้ในระหว่างนี้ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดหอการค้าไทยได้ทำการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการถึงการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำปี 2559 ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมที่จะให้มีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำในปีหน้า พร้อมเสนอให้คงไว้ที่อัตราเดิม 300 บาท โดยอยากเห็นภาครัฐนำแนวคิดเห็นของผู้ประกอบการจากการสำรวจในครั้งนี้นำไปเป็นส่วนหนึ่งในการพิจารณาการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำครั้งใหม่
 
                     นายภูมินทร์ หะรินสุต รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวว่า แม้สัญญาณทางเศรษฐกิจของไทยจะมีแนวโน้มที่ดี แต่จากตัวเลขการส่งออกที่ปรับลดลงไปมากได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ในภาคธุรกิจที่ยังไม่ดีนัก หากปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำก็อาจจะเป็นการซ้ำเติมผู้ส่งออก และแน่นอนว่าจะมีผลกระทบกับภายในประเทศต่อเนื่องอีก จึงอยากเห็นภาครัฐศึกษาถึงผลกระทบที่ผ่านมาจากการปรับขึ้นอัตราค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาททั่วประเทศครั้งที่ผ่านมาก่อนว่ามีผลกระทบ หรือมีผลได้ผลเสียอย่างไรกับภาคเอกชน โดยขอให้ชั่งน้ำหนัก พิจารณาตามเหตุและผลอย่างรอบด้าน
 
                     ทั้งนี้ จากการสำรวจผู้ประกอบการทั่วประเทศครั้งล่าสุด ทั้งภาคการค้า บริการ การผลิตและภาคการเกษตร พบว่า การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาท เมื่อปี 2555-2556 ที่ผ่านมานั้น มีธุรกิจจำนวนสูงถึง 95.4% ได้รับผลกระทบทุกรายการที่สำรวจ ทั้งด้านต้นทุนแรงงาน ต้นทุนการดำเนินงาน มีผลกำไรลดลง จนไปถึงการลดการจ้างงาน การขาดสภาพคล่องทางการเงิน และการขาดความสามารถในการแข่งขัน
 
                     นอกจากนี้ ยังพบว่า แม้ลูกจ้างจะมีรายได้เพิ่มขึ้น เป็นการกระตุ้นการบริโภค และทำให้แรงงานไม่ต้องไปทำงานนอกพื้นที่ แต่ก็มีปัญหาในเรื่องค่าแรงที่ไม่เป็นธรรมสำหรับแรงงานที่มีฝีมือ และประสบการณ์ รวมทั้งพบว่าแรงงานต่างด้าวจะได้รับประโยชน์จากอัตราค่าจ้างที่สูงขึ้นแทนที่จะเป็นแรงงานไทย และแรงงานอาจจะได้รับค่าล่วงเวลาน้อยลง โดยให้มีการปฏิบัติงานเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วธุรกิจก็จะเริ่มหันไปใช้เครื่องจักรเพิ่มขึ้นมากกว่าแรงงานที่อาจตกงานได้
 
                     รวมทั้งตั้งแต่การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็นวันละ 300 บาทครั้งแรกในปี 2555 และปรับขึ้นทั่วประเทศในปี 2556 เศรษฐกิจไทยก็เติบโตเพียง 2-3% เท่านั้น และยังมาประสบกับปัญหาทางการเมือง ยิ่งทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงในปี 2557 ซึ่งเติบโตเพียง 0.9% จนปัจจุบันที่เศรษฐกิจยังฟื้นตัวได้ไม่เต็มที่ ทำให้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่ยังไม่เห็นด้วยนักกับการปรับขึ้นค่าจ้างในเวลานี้
 
                     ส่วนทัศนะของผู้ประกอบการ ส่วนใหญ่อยากเห็นการปรับการกำหนดอัตราค่าจ้างขั้นต่ำตามพื้นที่ และตามมาตรฐานฝีมือแรงงาน และเห็นว่าค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมในสถานการณ์ปัจจุบันอยู่ในอัตราเฉลี่ยที่วันละ 293.45 บาท ส่วนอัตราค่าจ้างที่รับได้อยู่ที่ 298.20 บาท โดยแยกตัวเลขเฉลี่ยที่เหมาะสมในกรุงเทพฯ และปริมณฑลอยู่ที่ 299.39 บาท แต่รับได้อยู่ที่ 302.84 บาท ภาคกลาง 304.76 บาท รับได้ที่ 308.00 บาท ภาคเหนือ 274.06 บาท รับได้ที่ 285.94 บาท ภาคใต้ 300.58 บาท รับได้ที่ 301 บาท และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 272.63 บาท รับได้ที่ 291.50 บาท
 
                     เมื่อแยกตามประเภทธุรกิจ ค่าจ้างขั้นต่ำที่เหมาะสมในปัจจุบันสำหรับธุรกิจภาคเกษตรอยู่ที่วันละ 283.33 บาท แต่สามารถรับได้อยู่ในอัตรา 313.33 บาท ภาคการค้าเหมาะสมที่ 282.13 บาท รับได้ 294.11 บาท ภาคบริการ 301.78 บาท รับได้ 303.05 บาท และภาคการผลิต 290.50 บาท รับได้ที่ 292.89 บาท อย่างไรก็ตาม หากมีการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำเป็น 360 บาท ผู้ประกอบการส่วนใหญ่หรือ 89% ตอบว่าได้รับผลกระทบแน่นอน โดยจะมีผลกระทบด้านต้นทุนแรงงานสูงสุด รองมาคือกำไรลดลงและอาจขาดทุน มีต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น จนถึงอาจปลดคนงานและปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นในที่สุด
 
                     จากการสำรวจดังกล่าว นายภูมินทร์ กล่าวด้วยว่า ทางหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย มีข้อเสนอต่อเรื่องอัตราค่าจ้างขั้นต่ำดังนี้ คือเห็นควรให้คงค่าจ้างขั้นต่ำ 300 บาทต่อไปอีกในปีหน้า ควรมีการกำหนดค่าจ้างขั้นตำตามพื้นที่ ควรกำหนดค่าจ้างขั้นต่ำตามประเภทธุรกิจ และฝีมือแรงงาน ควรปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด ควรมีการฝึกและปริมาณฝีมือแรงงาน ก่อนการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำแต่ละประเภทธุรกิจ ควรมีมาตรฐานวิชาชีพที่มีทักษะแรงงาน เพื่อเพิ่มศักยภาพแรงงานตามความสามารถและระดับรายได้ และรัฐบาลควรมีการส่งเสริมสวัสดิการให้ประชาชน เช่น การรักษาที่มีคุณภาพ รถเมล์ฟรี และรถไฟฟรี เป็นต้น เพื่อบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน
 
                     “สิ่งที่ภาครัฐควรให้ความสำคัญ คือการสร้างนักเศรษฐศาสตร์ด้านแรงงาน สำหรับการจัดทำฐานข้อมูลเพื่อประเมินสถานการณ์ ผลดี และผลเสีย ซึ่งปัจจุบันยังมีจำนวนไม่มากนักเพราะที่ผ่านมา เราไม่ทราบเลยว่าค่าจ้าง 300 บาท กระตุ้นเศรษฐกิจไทยได้เท่าไร หรือเพิ่มผลผลิตด้านแรงงานอย่างไร รวมทั้งสถานการณ์ค่าครองชีพในปัจจุบัน เงินเฟ้อ กันค่าแรง 300 บาท มีความเหมาะสมหรือไม่ และสมดุลกับกลไกตลาดหรือไม่” รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าว




ที่มา http://www.komchadluek.net/detail/20150702/208989.html

0 comments:

Post a Comment

Show Emoticons